วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แนวความคิด

“ในการทำ Fashion Show แต่ละครั้งเราต้องใส่เอกลักษณ์ลงไปเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ให้คนเห็นถึงความเป็นเรา คือ ถ้านึกถึงแบรนด์ไข่ ก็ต้องนึกถึงความหรูหรา สง่างาม Classic และความพลิ้วไหวของเสื้อผ้า จุดนี้คือเอกลักษณ์ของเรา ดังนั้น เมื่อคนเห็นผ้าชีฟองสีขาว หรือลูกไม้ แน่นอนเขาก็ต้องคิดถึง Kai Boutique”
แม้เอกลักษณ์ คือ สิ่งที่แสดงถึงความเป็นตัวตน และแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้ หากโลกของแฟชั่นนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ความยากจึงอยู่ที่การต้องรักษา Signature ของตัวเองไว้ ในขณะเดียวกับที่ต้องวิ่งตามเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
“แน่นอนว่าการ Update ตัวเองเพื่อที่จะทำให้ไม่ตกเทรนด์เป็นเรื่องสำคัญ แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ เราต้องเป็นตัวของตัวเอง คงความเป็นตัวของเราอย่างแน่วแน่ เห็นได้ว่าในทุกโชว์จะต้อง Surprise คนดูด้วยความเป็นไข่ นั่นก็คือ ความหรูหรา เหนือธรรมดา ซึ่งเป็นอะไรที่ต้องใช้ความสามารถ คือ โครงสร้างแม้ดูเรียบง่าย แต่ก็เต็มไปด้วยรายละเอียด”
จึงไม่น่าแปลกใจที่ Kai Boutique สามารถยืนหยัดอยู่บนถนนสายนี้มากว่า 4 ทศวรรษแล้ว
คุณสมชาย มองว่าตลาดแฟชั่นในปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูงมาก และต้องเผชิญกับคู่แข่งแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศอีกมากมายหลายหลาก ดังนั้น การที่จะอยู่รอดได้มีทางเดียว คือ ต้องมีความมั่นคงและเป็นตัวของตัวเองให้ได้มากที่สุด โดยเขาได้ยกตัวอย่าง Young Designer ที่มีการคิดหาแนวทางสร้าง Signature เป็นของตัวเอง และกลายมาเป็นผู้นำแฟชั่นแนวใหม่ในที่สุด
“ผมมองว่าแบรนด์ไทยที่น่าจับตา และน่าจะเป็นแบรนด์ที่สำเร็จได้ไม่ยากก็อย่าง Kloset, Disaya, Senada และ Sretsis นั่นก็เป็นเพราะแบรนด์เหล่านี้สามารถค้นหาแนวทางแฟชั่นของตัวเองเจอ และมีเอกลักษณ์ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง”
เรียกได้ว่า Signature คือหัวใจหลักของแบรนด์ จึงไม่น่าแปลกใจที่แบรนด์ที่มี Signature อย่างเด่นชัดอย่าง Kai Boutique นั้นสามารถผ่านร้อนผ่านหนาวในวงการแฟชั่นมาแล้วเกือบครึ่งศตวรรษ
“ทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จชั่วข้ามคืน ใครๆ ก็ทำได้ แต่ทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จนานๆ นั้นเป็นเรื่องยาก ความเป็น Kai Boutique ตอบทุกอย่างในตัวของมันเองอยู่แล้ว ทั้งในเรื่องความอยู่รอด ความเป็นตัวของตัวเอง และคุณค่าของเรา”


inspiration



ในยุคโลกาภิวัตน์ที่ผู้คนเคยชินกับความเร่งรีบ การทำเสื้อผ้าให้คนเพียงสวมใส่
อาจจะดูเป็นความหรูหราที่ผิดยุคผิดสมัย แต่สำหรับหรับสตรีหลายคน เสื้อผ้า
จากห้องเสื้อที่เชี่ยวชาญงานคัสตอมเมดนับเป็นงานฝีมือที่บ่งบอกถึงรสนิยม
และบุคลิกส่วนตัว สูงด้วยคุณภาพทั้งการออกแบบตัดเย็บ และที่สำคัญมีเพียง
ชิ้นเดียวในโลก

สินค้า

ชุดเจ้าสาว...จากคนธรรมดาเป็นเจ้าหญิงแสนสวย
ผู้หญิงที่กำลังจะเป็นว่าที่เจ้าสาวทุกคน ย่อมปรารถนาจะปรากฏกายต่อหน้าว่าที่เจ้าบ่าวและสักขีพยานรัก
ในชุดเจ้าสาวแสนสวย แต่จะทำอย่างไรให้เธอเหล่านั้นสมดังใจปรารถนาได้ สมชาย แก้วทอง ดีไซเนอร์
เจ้าของห้องเสื้อ ไข่ บูติค ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบชุดเจ้าสาวที่มีชื่อเสียงยาวนานกว่า 40 ปี อธิบา
ยถึงการออกแบบชุดเจ้าสาวให้เหมาะกับสุภาพสตรีแต่ละคนไว้ว่า
“จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับการตกลงพูดคุยกันว่า คุณมีเวลาให้กับทางร้าน
เท่าไหร่ มีงบประมาณสำหรับชุดที่สำคัญที่สุดในชีวิตตัวเอง มากน้อยแค่ไหน จากนั้นมาถึงขั้นตอนในการ
เลือกแบบและวัสดุ ซึ่งความถูกหรือแพงของชุด เจ้าสาวนั้นขึ้นกับวัสดุเป็นส่วนใหญ่ เพราะการออกแบบ
กับค่าแรงตัดเย็บมันมีมาตรฐานอยู่แล้ว”
นอกจากบรรดาว่าที่เจ้าสาวจะต้องทำการบ้าน บอกเล่ารายละเอียดถึงความต้องการ และความใฝ่ฝันขอ
ตัวเองว่าอยากอยู่ในชุดเจ้าสาวแบบไหนให้กับดีไซเนอร์ฟังแล้ว เธอยังจะต้องมีความมั่นใจในการตัดสินใจ
เลือกชุดด้วยตัวเอง หรือหากคิดว่าอยากได้ความ ช่วยเหลือจากว่าที่เจ้าบ่าว คุณแม่ หรือเพื่อนสนิทให้มา
เป็นผู้ช่วยในการตัดสินใจก็สามารถทำได้
สำหรับสไตล์อันโดดเด่นจนทำให้ ไข่ บูติค กลายเป็นดีไซเนอร์ในดวงใจของคุณสุภาพสตรี คือสไตล์การ
ออกแบบที่เน้นให้เจ้าสาวโดดเด่น สวยสง่า ความประดิดประดอยละเมียดละไม ในการตัดเย็บ รวมถึงราย
ละเอียดในเนื้อผ้า ซึ่งจะทำให้เจ้าสาวอยู่ในชุดที่สวย ไม่ว่าจะมอง จากระยะใกล้หรือไกล
ส่วนใหญ่แล้วบรรดาว่าที่เจ้าสาวที่มาใช้บริการ ไข่ บูติค นั้นมักจะเตรียมแบบจาก ชุดเจ้าสาวของแบรนด์
ต่างๆ ที่ตัวเองชอบใจมาให้ดีไซเนอร์มือฉมังช่วยออกแบบปรับเปลี่ยนเข้ากับ บุคลิกของตัวเอง โดยงบ
ประมาณค่าใช้จ่ายในการตัดชุดเจ้าสาวนั้น คุณไข่บอกว่า ขึ้นอยู่กับการให้ความสำคัญของเจ้าสาว ถ้าเธ
คิดว่าการแต่งงานครั้งเดียวในชีวิตนั้น อยากจะเป็นวันที่ตัวเองสวยที่สุด อยากใช้ของดีที่สุด แพงขนาด
ไหนก็ไม่มีปัญหา สำหรับที่ร้าน ไข่ บูติค นั้นเฉลี่ยราคาชุดเจ้าสาวไม่ต่ำกว่า 80,000 บาท และที่ผ่านมา
เคยมีราคาสูงถึงหลักล้าน เป็นชุดเจ้าสาวของเจ้าหญิงคูเวต ซึ่งเป็นชุดแบบเรียบๆ เสื้อลูกไม้แขนยาว คอ
ปิดและปักเพชร ทั้งตัว
และการให้ความสำคัญกับวันแห่งประวัติศาสตร์ชีวิตของหญิงสาว ยังเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่่ คุณไข่ใช้เป็นเกณฑ์
ในการเลือกรับลูกค้า
“มีเจ้าสาวบางรายบอกว่า ทำไมจะต้องไปทุ่มเทชุดแต่งงานราคาแพง ในเมื่อใช้รับแขกประเดี๋ยวเดียวก็
ไม่ใช้อีกแล้ว ลูกค้าที่ไม่ให้ความสำคัญแม้กระทั่งวันสำคัญ ของชีวิตตัวเองนี่แหละที่เราจะไม่ตัดให้ กับ
ลูกค้าประเภทที่สองที่บอกว่า ถ้าจะตัดชุดร้านไข่ไปซื้อแบรนด์เนมดีกว่า อันนี้เราก็ไม่ตัดให้ เมื่อไม่ชอบ
ผลงานของเรา ก็อย่ามาพูดให้เราต้องเสียใจ แต่ถ้าเขาเอาแบบของแบรนด์เนมมาให้เราดัดแปลง เพราะ
ว่าแบรนด์เนมมันแพงไป อันนี้เรายินดี เพราะเราเป็นดีไซเนอร์ไทย เราไม่ได้โด่งดังเหมือนดีไซเนอร์
แบรนด์เนม เพราะฉะนั้นเราต้องยอมรับสภาพของเรา แล้วก็เพื่อที่ลูกค้าจะได้ประทับใจด้วยว่า ฉันเอาชุด
ของแบรนด์นี้มาให้คุณไข่ดู คุณไข่ทำให้ฉันในราคาถูกกว่าตั้งเยอะ แล้วสวยกว่าด้วย สิ่งนี้ต่างหากที่ถือ
เป็นรางวัลของเรา” ดีไซเนอร์มือฉมังกล่าวถึงสองกรณีที่เจ้าตัวไม่ปรารถนาเป็นที่สุด
กว่า 40 ปีที่คุณไข่คร่ำหวอดอยู่ในวงการแฟชั่นไทย จนกลายเป็นปรมาจารย์ของการ ออกแบบชุดเจ้าสาว
 และเป็นดีไซเนอร์ที่ว่าที่เจ้าสาวหลายคนปรารถนาจะ ได้สวมใส่ชุดเจ้าสาวฝีมือการออกแบบของ สมชาย
 แก้วทอง รวมถึงเซเลบริตี้คนดังหลากหลาย วงการที่ล้วนจะมุ่งตรงมาให้คุณไข่ช่วยเนรมิตชุดเจ้าสาวแสน
สวยให้มากมาย จนอาจจะไม่สามารถนับนิ้วได้หมด แต่เจ้าตัวกลับออกตัวว่าสำหรับลูกค้าคนดังมีไม่มาก 
หากเทียบกับร้านอื่นๆ คงเฉลี่ยพอกัน ส่วนคนดังที่มาตัดชุดกับคุณไข่ไม่ต่ำกว่า 10-15 คน ซึ่งยังไม่นับ
รวมกับลูกค้าที่เป็นเจ้าหญิงต่างชาติ ที่จะมาใช้บริการไข่ บูติค เฉลี่ยปีละประมาณ 20 รายปรมาจารย์ชุด
เจ้าสาวกล่าวว่า การมีชื่อเสียงเป็นที่นิยมและได้รับความไว้วางใจ มาจนถึงทุกวันนี้ได้ เป็นเพราะการที่คน
อื่นพูดถึงและชื่นชมในทางที่ดี หลายคนบอกว่า ถ้าแต่งงานต้องชุดแต่งงานกับคุณลุงไข่ คุณปู่ไข่ คุณอาไข่
ซึ่งเขาว่าปีนี้อายุ 62 แล้ว ควรจะรีไทร์ได้แล้วด้วยซ้ำไป "แต่พอมาคิดว่าเรายังมีพรสวรรค์ เรายังมีงานอีก
เยอะแยะมากมาย ถ้าเทียบกับร้านอื่นๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การที่พี่สาวเราพูดว่า หลานจบปริญญาโทก็
โหยหาเงิน ได้ไม่เท่าเรา เขาต้องทำงานเท่าไหร่กว่าจะหาเงินมาได้ แล้วเราหาได้ต่อวันต่อเดือน มากกว่า
เขาไม่รู้กี่ร้อยเท่า อย่าเลิกเลย อายุขนาดนี้แล้วแต่ยังมีคนต้อนรับเราอยู่ เพราะฉะนั้นเราก็จะยังทำต่อไปจน
กว่าจะทำไม่ไหว และสิ่งที่เราทำคือสิ่งที่เรารักด้วย เราไม่เคยคิดเสียใจว่าเราเลือกทางผิด เราไม่เคยต้อง
เสียเวลาอยู่กับอาชีพอื่น”
ตลอดเส้นทางของการออกแบบชุดเจ้าสาวของคุณไข่นั้น เจ้าตัวบอกว่า ชุดเจ้าสาวทุกชุดที่ตัวเองเป็นคน
ออกแบบ ล้วนแต่เป็นชุดที่มีความน่าประทับใจทั้งสิ้น เพราะเกิดจากการที่คุณไข่ดึงเอาความเป็นตัวของ
ตัวเองของแต่ละคนมาบวกเข้ากับความสามารถในการออกแบบ ซึ่งเขาคิดว่า 90% ของลูกค้าทั้งหมดน่า
จะชื่นชอบและพอใจไม่แพ้คนออกแบบ
แต่ชุดที่ให้ความสุขทางจิตใจมากที่สุดน่าจะเป็นชุดเจ้าสาวที่คุณไข่ออกแบบให้กับญาติ สนิท และคนใกล้
ตัวที่เขารัก อย่างชุดของหลานสาวชื่อ “บัว” คุณไข่เอาชื่อของหลานมาเป็นธีม หลักในการออกแบบ ชุด
เจ้าสาวชุดนี้จึงมีลักษณะเป็นเกาะอกกระโปรงยาว ช่วงบนเหมือนใบบัว และชายกระโปรงเป็นดอกบัว
หรืออีกหนึ่งชุดซึ่งเป็นชุดเจ้าสาวชุดแรกที่คุณไข่ออกแบบ และยังคงประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ “เป็นชุด
เจ้าสาวชุดแรกที่เราออกแบบให้กับรุ่นพี่ที่เรียนหนังสือด้วยกันมาที่มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นพี่สาวที่สวย
และมีบุคลิกเก๋ ไว้ผมยาวถึงกลางหลัง แต่เขากลับไว้วางใจให้เราเป็นคนออกแบบ ชุดแต่งงานให้ และเขา
ก็เสียชีวิตไปแล้วเพราะคลอดลูกคนแรก ซึ่งตอนนั้นหนังการ์ตูน เรื่องสโนไวต์ เข้ามาฉายที่บ้านเราพอดี
ก็เลยเอาไอเดียจากชุดสโนไวต์มาทำ เป็นเสื้อเปิดไหล่แขนยาว ตรงรอบไหล่และชายกระโปรงเป็นเฟอร์
สีขาว เป็นชุดที่ประทับใจมาก แล้วก็ยังไม่เคยเอาไอเดียนี้มาทำชุดเจ้าสาวให้ใครอีกเลย”
สำหรับว่าที่เจ้าสาวทั้งหลายที่อาจจะยังสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าควรจะตั้งต้นเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว
อย่างไรดี คุณไข่ฝากคำแนะนำทิ้งท้ายไว้ให้สาวๆ ทั้งหลายว่า
“ขอให้เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด เพราะในวันที่ผู้ชายขอคุณแต่งงานนั้น คุณอาจจะไม่ได้แต่งหน้า
ทำผม หรืออาจจะใส่แค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ แต่เขาก็ตกลงใจที่จะ ขอให้คุณมาเป็นคู่ชีวิตด้วยในสภาพนี้
ละแม้ว่าเขาจะอยากเห็นคุณในชุดเจ้าสาว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปลดความอ้วน ไปอาบน้ำแร่
แช่น้ำนม ไปทำศัลยกรรมเปลี่ยนหน้าใหม่ เพราะเขารักเขาชอบคุณในความเป็นตัวคุณ แล้วคุณจะเปลี่ยน
ตัวเองไปเพื่ออะไร”

brand Kai Boutique (ไข่ บูติค)

เริ่มแรกที่เขาลงทุนเปิดร้านตัดเสื้อเอง
เขาใช้ชื่อร้านว่า 'เจิม' เพราะเป็นชื่อของแม่ตัวเอง
ซึ่งเขาได้นำชื่อนี้มาเป็นลายพิมพ์ของผ้าด้วย
แต่ด้วยคุณแม่ของเขาทักท้วง เกรงว่าชื่อแม่หาก

ไปเป็นลายพิมพ์อยู่บนกางเกง
อาจจะทำให้ลูกไม่เจริญ ทำให้เขาต้องยอมเปลี่ยน

ชื่อร้านเป็น 'ไข่' อีกทั้งความฝันที่อยากจะให้เสื้อผ้า
ของเขาโกอินเตอร์ ทำให้เขาต้องเปลี่ยนชื่อร้านเป็น
"ไข่ บูติก" "ชื่อแบรนด์สำคัญมาก ถ้าใครที่คิดจะโก
อินเตอร์ ต้องคิดชื่อแบรนด์ของเราให้เป็นสากลไว้ก่อน
อย่างชื่อไข่ภาษาอังกฤษเขียนว่า KAI ซึ่งที่สิงคโปร์

ก็มีชื่อร้านนี้ ฮ่องกงก็มีแบรนด์ ไข่ คอลเลคชั่น แต่ผม
ไม่คิดมากเรื่องโกอินเตอร์ การจะก้าวเข้ามาทำอาชีพนี้
อย่างจริงจัง ต้องถามตัวเองก่อนว่าเราชอบ รัก
หรือหลงใหล คนที่เข้ามาในวงการนี้อย่ามองฉาบฉวย
ต้องทุ่มเทให้อาชีพนี้อย่างมาก เพราะเป็นอาชีพที่โหดร้าย

ทารุณมาก เนื่องจากเราต้องทำทุกอย่างให้ลูกค้าพอใจ
แล้วความพอใจของลูกค้าเรายอมรับได้หรือเปล่า
ถ้าไม่ได้จะมีวิธีการอย่างไรให้เขายอมรับเรา" ไข่ กล่าว

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ไข่ บูติค (Kai Boutique)

Designer : สมชาย แก้วทองตำแหน่ง : เจ้าของร้าน Kai
การศึกษา : อุดมศึกษา คณะจิตกรรม มหาวิทยาลัยศิลปกร
ประวัติการทำงาน
   1968 เริ่มเปิดร้าน Kai เมื่ออายุ 22 ปี
ผลงานที่ภาคภูมิใจ / ประทับใจ
   ภูมิใจทุกผลงานที่เคยทำแฟชั่นโชว์ แต่ไม่เคยเต็ม 100 ก็เลยไม่จดจำ
กิจกรรมที่ทำสมัยยังศึกษาอยู่   เรียนบัลเลต์ กับท่านผู้หญิงวราพร ปราโมช / ชอบศิลปะคลาสสิกชั้นสูงทุกชนิด
กิจกรรมยามว่าง / งานอดิเรกไม่ชอบออกงานใดๆ ชอบอยู่เงียบๆ คนน้อยๆ, ไม่ต่างจังหวัด, ชอบทานอาหารทะเล, ชอบดูบัลเลต์, ชอบดูโอเปร่ามากๆ

      กว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ไข่-สมชาย แก้วทอง คือเจ้าของห้องเสื้อ Kai ผู้ที่ลุกขึ้นมาทำเสื้อผ้าในเชิงธุรกิจโดยใช้นางแบบคนไทยเดินบนแคทวอล์คตามแบบฝรั่ง ครั้งนั้นแฟชั่นโชว์ชุดแรกของเขาได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนต์ฮอลลีวู้ดเรื่อง The Great Gatsby ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก และผลจากการเดินแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นดังกล่าวทำให้เสื้อผ้า Kai ขายหมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว ส่งให้ชื่อเสียงของ ไข่-สมชาย แก้วทอง โด่งดังเป็นพลุแตก จนต้องจัดงานแฟชั่นโชว์ของตัวเองตามมาอีกหลายงาน
     ไข่-สมชาย ถือเป็นคนแรกที่เปิดเส้นทางให้เกิดอาชีพนางแบบขึ้นมาอย่างเป็นทางการ เพราะเขาจะจ่ายค่าตัวให้นางแบบทุกคนที่มาเดินแบบเสื้อให้ จนเรียกได้ว่า ไข่-สมชาย คือมือปั้นนางแบบอาชีพเข้าสู่วงการแฟชั่นจำนวนมากอย่างแท้จริง
     หลายปีที่อยู่ในวงการแฟชั่นมา ไข่-สมชาย แก้วทอง คือดีไซน์เนอร์ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายรูปแบบ แต่ด้วยความที่เขารักและคลุกคลีกับงานทางด้านเสื้อผ้ามาตั่งแต่ยังเด็กๆ ทำให้งานที่เขาทำจนทุกวันนี้ กลายเป็นงานที่มีค่าทั้งกับตัวผู้สร้างและตัวผู้สวมใส่เป็นอย่างดี
     “หลังจากพี่ชายต้องไปอยู่โรงเรียนประจำที่ จ.ยะลา บ้านผมก็เหลือแค่พี่สาว 2 คน แล้วก็แม่ ซึ่งผมสนิทกับแม่มาก เมื่อก่อนที่บ้านผมจะคลุกคลีกับเรื่องของการเย็บ ปัก ถัก ร้อย ไม่ว่าจะเป็นการถักเสื้อกันหนาว ถักโครเชท์ ถักผ้าคลุมไหล่ ทำให้ผมซึมซับกับเรื่องราวของงานประดิษฐ์ตั่งแต่นั้นมา และด้วยความที่ผมมีพื้นฐานด้านวาดเขียนอยู่แล้ว ก็เลยทำให้เราสนใจงานทางด้านศิลปะมากขึ้น อย่างตอนที่เรียนมัธยมที่ จังหวัดยะลา อาจารย์ที่สอนวิชาศิลปะมักจะจัดกิจกรรมบ่อย อย่างจัดให้ขี่จักรยานไปเขียนรูปนอกเมือง เราก็ได้ประสบการณ์ทางด้านการวาดรูปจากตรงนี้ด้วย”
     “พอจบมัธยม ผมก็มาเรียนเพาะช่างที่กรุงเทพฯ มีโอกาศได้มาเดินแถวๆ พาหุรัดบ่อยเข้า เห็นเสื้อผ้าหลากหลายแบบก็ทำให้ชอบเข้าไปใหญ่ เลยเป็นแนวทางทำให้เราเลือกที่จะทำอาชีพตัดเสื้ออย่างไม่ต้องลังเลอะไรเลย พอจบ ปี 3 ที่เพาะช่าง ผมก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปากรได้ เรียนอยู่ที่นั้นจนกระทั้งปี 3 เราก็ค้นพบตัวเองว่าเราพร้อมที่จะทำงานแล้ว ก็เลยออกมาเปิดร้านตัวเสื้อเลย เพราะรู้ว่ามันใช่สำหรับเราแล้ว คือการที่เราเลือกจะทำอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้ามันรู้สึกว่ามีอะไรดึงดูดเรามาตั่งแต่เด็ก จนพอเราโตอายุประมาณ 22 ปี เราก็คิดว่าปริญญาไม่มีความหมายสำหรับเราอีกต่อไป”
     “การที่เราทำงานมาตั่งแต่อายุ 22 ปี แล้วไม่มีความรู้พื้นฐานด้านการตัดเย็บเสื้อผ้า และไม่เคยได้เรียนที่ไหนมาก่อน มีแต่พื้นฐานทางด้านวาดเขียนก็เปนอะไรที่ช่วยได้เยอะมากทุกอย่างที่เราเรียนมาทั้งหมดสามารถนำมาช่วยทำงานให้สายอาชีพนี้ได้ ที่ผ่านมาผมอาศัยความชอบ ความถนัด มาช่วยเป็นแรงผลักดันให้เกิดเป็นประสบการณ์ที่มีค่าสำหรับเรียนรู้ต่อไป
     “จากนั้นพอเริ่มจับทางถูกว่าเราจะทำงานทางด้านนี้จริงๆ เราก็เริ่มศึกษาว่าการทำธุรกิจที่ดีจะต้องเริ่มจากโครงสร้างที่ดี มีการบริหารเงินที่ดี มีการผลิตที่ดี มีการโฆษณาที่ดี แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องแยกแยะว่า ธุรกิจไฮแฟชั่นก็เหมือนเรารับตัดเสื้อทั่วไป การที่เรารับตัดเสื้อทั่วไปกับการที่เราจะรับตัดเสื้อสำเร็จรูปขายเราจะต้องแยกออกจากกัน คือเสื้อสำเร็จรูปเราทำขึ้นมาเพื่อให้คนทุกคนทุกระดับทุกวัยใส่ได้ และซื้อได้โดยที่ไม่มีปัญหาเรื่องของราคา แต่เสื้อสั่งตัดคือไฮแฟชั่น บางทีมีปัญหาเรื่องของราคาแพง ที่แพงก็เพราะการเลือกใช้วัสดุที่ดี แต่สิ่งที่ทำให้เสื้อผ้าร้านผมแพงคือความต้องการของลูกค้าที่มาเป็นตัวกำหนดให้เสื้อผ้ามีราคาแพงขึ้น บางครั้งเวลาที่ลูกค้าสั่งตัดชุดเดียว ตัวเดียว เขาก็ต้องการความพิเศษเฉพาะตัว ซึ่งไม่สามารถไปหาซื้อที่ไหนได้ เราก็ต้องใส่ความพิเศษให้เขา เพราะฉะนั้นถ้าไม่รักไม่ชอบงานทางด้านนี้จริงๆ ก็อาจท้อถอย หรือเลิกล้มกลางคันได้ ดังนั้นความรักและความชอบก็ทำให้เรามีพลังในการต่อสู้กับอุปสรรคที่เกิดขึ้นได้เอง”
     ได้ฟังเรื่องราวของบรมครูทางด้านแฟชั่นมาพอสมควรก็ทำให้ทราบว่า การที่เราจะทำงานอะไรให้ประสบความสำเร็จแล้วในขั้นตอนแรกเราก็ต้องมีพรสวรรค์ทางด้านนี้อยู่ในตัวเองด้วย จึงจะเห็นความสำเร็จลอยมาแต่ไกล
     “ผมว่าความชอบกับพรสวรรค์ ทำให้ทุกคนมีใจที่จะสู้และ ทำให้เราผ่านพ้นอุปสรรคมาได้ เพราะฉะนั้น การที่จะเรียนแฟชั่นหรือเรียนอะไรก็ตามถ้าไม่มีพรสวรรค์หรือไม่มีความชอบในสิ่งที่เราเรียนก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ผมขอท้าเลยว่าคนที่จบปริญญาตรีหรือปริญญาเอกทางด้านแฟชั่นมา กับคนที่มีความรัก ความชอบและเริ่มคลุกคลี ทำงานเกี่ยวกับแฟชั่นมาตั่งแต่อายุยังน้อย ฝ่าฟันกับอุปสรรค เรียนรู้ ต่อสู้กันไปก็จะได้รับความลึกซึ้งกับอาชีพตรงนี้มากกว่าคนที่เรียนมาอีก คนที่เรียนมาทางด้านนี้ก็เพื่อมีข้อมูลมาประกอบอาชีพ แต่พอเขาเริ่มมาประกอบอาชีพก็เท่ากับว่าต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่กับชีวิตเลย เขาอาจจะมีภาษีมากกว่าที่เขาได้เรียนพื้นฐานทางด้านนี้มาโดยตรง แต่ทั้งหมดแล้วก็ยังสู้พรสวรรค์ที่ติดตัวมาไม่ได้อยู่ดี”
     “เท่าที่อยู่วงการนี้มา จะเห็นว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีพรสวรรค์ แต่คนที่ไม่มีพรสวรรค์หรือคนที่เรียนมาทางด้านแฟชั่นมาเขาก็อาจประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นคนที่เรียนทางด้านนี้มาแล้วทำสินค้าสำเร็จรูป ทำอาชีพนี้โดยตรง คนที่มีพรสวรรค์จะมีภาษีกว่า ทำงานมา จนอายุจะ 60 ปีแล้วมีดีไซเนอร์เป็นร้อยเป็นพัน แต่ถ้าพูดถึง Top designer ในเมืองไทยที่เข้าขั้นจริงๆยังนับไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ ถือว่ายังน้อยเหมือนกันคือเราอาจมองว่าคนที่สนใจและเข้ามาทำอาชีพนี้มีให้เห็นเยอะมาก แต่ถ้าวัดความสำเร็จก็ถือว่าน้อยเต็มที เราเห็นงาน ELLE FASHION WEEK ซึ่ง ELLE เป็นหนังสือหัวนอกที่ให้ความสำคัญกับอาชีพแฟชั่นเมืองไทยมาก การที่เขาจัดงานนี้ขึ้นมาก็เหมือนเป็นการได้คัดสรรผลงานของ ดีไซเนอร์เมืองไทย เพื่อให้งานออกมาสู่สายตาประชาชน ให้คนได้ตัดสินว่า เขาเป็นดีไซเนอร์จริงๆ หรือว่าเป็นแค่ช่างตัดเสื้อ หรือเป็นแค่ความฉาบฉวยกันแน่”
     “เพราะฉะนั้นอยากบอกเด็ก ที่อยากเข้ามาทำงานในวงการแฟชั่นว่า อาชีพนี้มีคนอยากทำเยอะมาก แต่การเข้าวงการมาแบบฉาบฉวย พ่อแม่รวย ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะเมื่อเกิดปัญหาแต่ละครั้งส่วนใหญ่ก็จะทนไม่ไหว ถอนตัวกันไปเยอะเหมือนกัน เนื่องจากเราต้องเจอกับลูกค้าหลายแบบ คนที่จะทุ่มเทให้กับความพิเศษอย่างที่ลูกค้าต้องการได้ คนๆนั้นก็จะต้องเป็นคนที่อดทนมากๆ”
     “อาชีพนี้เราต้องแข่งกับตัวเอง พยายามทำตัวให้อยู่ในกรอบที่ถูกต้อง ก็จะประสบความสำเร็จได้ การทำงานแต่ละครั้งเราต้องศึกษาหลายอย่าง ทั้งการเป็นตัวของตัวเอง การดูเทรนด์แฟชั่นของโลก คำว่าแฟชั่นมันก็จะวนไปวนมา เพราะฉะนั้นแฟชั่นก็จะมีเหมือนเดิมบ้าง ก็เป็นเรื่องปรกติ”
     “สำหรับร้าน Kai เราทำเสื้อผ้าคลาสสิก เราคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการสวมใส่เสื้อผ้าของลูกค้าเป็นหลักว่า ถ้าลูกค้าเสียเงินกับเรา เขาจะต้องได้รับความคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป ซึ่งจุดนี้เราก็สามารถวัดความสำเร็จและความมีชื่อเสียงจากลูกค้าที่มีมาเรื่อยๆได้เราเปิดร้านมานาน มีผลงานมากมายใครจะชอบงานเรามากน้อยแค่ไหนก็วัดได้ที่การอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้”
     “สำหรับโครงการในอนาคตผมก็จะทำงานตรงนี้ให้ดีที่สุด ถ้ามีเงินสักก้อนก็จะเปิดพิพิธภัณฑ์แฟชั่นส่วนตัวให้กับตัวเอง เพื่อให้เด็กรุ่นหลังได้ดูกัน ได้ให้คนอื่นดูผลงานประวัติการทำงานของเรา หากวันหนึ่งเราตายไป 20-30 ปี แต่ผลงานที่เราทำก็ยังอยู่ เขาจะได้รู้ว่าสมัยที่เรายังอยู่เขาทำงานกันแบบนี้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีถ้าทำได้ ก็ภาวนาอยากให้ทำได้เหมือนกันเพราะเราไม่สามารถอุทิศความที่เราชอบให้กับใครได้ เราก็คือเรา เขาก็คือเขา ของแบบนี้มันไม่มีตัวตายตัวแทนกันได้ ดังนั้นความเป็นตัวของเราก็จะมีอยู่ที่เดียว แห่งเดียวในโลกใบนี้”